ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

The Pianist หนังที่นักเปียโนควรดู




นัก เปียโน วลาดิสลอว์ ซพิลแมน (เอเดรียน โบรดี้) มีงานเล่นเพลงที่สถานีวิทยุ ในกรุงวอร์ซอว์ตามปกติ แม้ว่าจะเป็นช่วงที่พวกทหารนาซี จะบุกเข้ามาโปแลนด์หลายสัปดาห์แล้ว เขาต้องเดินข้ามศพคน และซากม้าตายจำนวนมาก กว่าจะไปถึงสถานีวิทยุ จนกระทั่งบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังเล่นเพลงของโชแปงอยู่นั้น ห่าระเบิดของฝ่ายศัตรู ก็ถล่มลงมาในเมืองเสียหายยับเยิน หลายวันต่อมา วอร์ซอว์ตกเป็นของนาซี แม้ว่าจะรู้ดี ถึงสิ่งที่จะเกิดตามมาภายหลังจากนี้ แต่เขาก็ยังเชื่อว่า ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย เมื่ออังกฤษกับฝรั่งเศสประกาศสงครามกับเยอรมัน

ทหาร นาซีสั่งให้ชาวยิวจำนวน 360,000 คน ในกรุงวอร์ซอว์ ต้องสวมปลอกแขนระบุเชื้อชาติ และย้ายออกจากบ้าน ไปอยู่อย่างแออัดในเขตพื้นที่อันจำกัด ซพิลแมนก็ยังคงเชื่อว่า เขาสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ ตราบเท่าที่ปฏิบัติตามกฏ และมองโลกในแง่ดีต่อไป เขาได้ใบประกาศนียบัตร รับรองการทำงานเป็นนักเปียโน ในร้านอาหารเฉพาะชาวยิว และพยายามสร้างความมั่นใจให้กับทุกคนด้วยคำพูดว่า “ไม่ ต้องห่วง อีกไม่นานทุกอย่างก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ”

ต่อมาในเดือน สิงหาคมปี 1942 ครอบครัวของเขา ถูกส่งตัวขึ้นรถไฟไปยังค่ายกักกัน แต่เขาได้รับความช่วยเหลือช่วงนาทีสุดท้าย ให้อยู่ในกรุงวอร์ซอว์ต่อไป จากเพื่อนคนหนึ่งประจำกรมตำรวจ หลังจากนั้น ซพิลแมนก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ในเมืองที่กำลังจะพังพินาศ ด้วยน้ำมือสงคราม ไม่มีอะไรจะกิน และป่วยเป็นโรคสารพัด เป็นเวลานานที่เขาต้องอาศัยอย่างแร้งแค้น อยู่ในบ้านร้างหลังหนึ่ง ก่อนต่อมาจะถูกค้นพบ โดยนายทหารเยอรมัน ร้อยเอก วิล (โธมัส เครทชมานน์) ผู้ยื่นข้อเสนอว่าจะนำอาหารมาให้ หากเขายอมเล่นเปียโนให้ฟังเป็นการตอบแทน...

The Pianist ดัดแปลงมาจากงานเขียนเชิงอัตชีวประวัติของ วลา ดิสลอว์ ซพิลแมน อดีตนักแต่งเพลงและนักดนตรีชื่อดัง ในแวดวงวิทยุกระจายเสียงของโปแลนด์ เขามีอายุไม่ถึง 30 ปี ตอนที่ทหารนาซีเริ่มบุกเข้ามาในปี 1939 หนังสือของซพิลแมนภายใต้ชื่อ Death of the City ตีพิมพ์ออกเผยแพร่เมื่อปี 1946 แต่ไม่นานก็ถูกรัฐบาลคอมมิวนิสต์สั่งแบน เนื่องจากมันแสดงให้เห็นภาพ ทั้งด้านดีและด้านร้ายของผู้คนทุกเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเป็นชาวโปแลนด์ ยิว หรือกระทั่งนาซีเยอรมัน ต่อมาหนังสือก็ถูกนำมาตีพิมพ์ใหม่อีกครั้งในปี 1998 หรือสองปีก่อนหน้าผู้แต่งจะเสียชีวิต ภายใต้ชื่อ The Pianist

ผู้ กำกับ โรมัน โปลันสกี้ (Tess, Chinatown, Rosemary's Baby) เชื่อว่า The Pianist คือหนังที่สะท้อนภาพแท้จริง ของชะตากรรมคนยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ตรงตามความเป็นจริง มากกว่าหนังเรื่องใดๆ รวมทั้ง Schindler's List ซึ่งโปลันสกี้เคยตอบปฏิเสธคำขอร้องของสปีลเบิร์ก ที่จะให้เขากำกับหนังเรื่องนี้ เนื่องจาก Schindler's List เป็นเรื่องราวของคน ซึ่งจงใจจะช่วยเหลือชาวยิว จากการถูกสังหารหมู่ ขณะที่ประสบการณ์ส่วนตัว ของโปลันสกี้เองกลับบอกว่า โชคชะตาและความบังเอิญต่างหาก ที่เล่นบทบาทสำคัญในการรอดชีวิต ของชาวยิวส่วนใหญ่

ภาพยนตร์เรื่อง The Pianist ได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมาจาก 3 สถาบันประกอบด้วย National Society of Film Critics, San Francisco Critics Circle และ Boston Film Critics โดย เอเดรียน บรอดี้ ได้รับรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยม จากสถาบันเดียวกัน พร้อมทั้งผู้กำกับ โรมัน โปลันสกี้ ก็ได้รับรางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย หลังจากนั้น The Pianist ถูกเสนอเข้าชิง 7 รางวัลออสการ์ โดยมี 4 สาขาใหญ่คือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงชายยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของ โรนัลด์ ฮาร์วูด รวมอยู่ด้วย ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คว้ามาได้ 3 รางวัลหลังมาครอบครองได้สำเร็จ

The Pianist นำแสดงโดย เอเดรียน บรอดี้ (The Affair of the Necklace, Liberty Heights, Summer of Sam, The Thin Red Line), โธมัส เครทชมานน์ (Blade II, U-571, Shining Through), เอมิเลีย ฟ็อกซ์ (The Soul Keeper, Three Blind Mice), แฟรงค์ ฟินเลย์, มัวรีน ลิปแมน
ขอบคุณ pantip.com สําหรับรูปภาพเเละข้อมูล


การเเข่งขันเปียโน Trinity Guildhall ครั้งที่2





การแข่ง ขันเปียโนเยาวชน Trinity Guildhall ครั้งที่ 2 เดือนตุลาคม 2010
Monday, February 15, 2010 at 9:06pm
The 2nd Trinity Guildhall National Youth Piano Competition

Trinity Guildhall Thailand ภายใต้การสนับสนุนหลักจากเปียโน Wilh. Steinberg มีกำหนดจัดการแข่งขันเปียโนสำหรับ เยาวชนไทย Trinity Guildhall National Youth Piano Competition ครั้งที่ 2 ในเดือนตุลาคม 2553 เพื่อเป็นการส่งเสริมเยาวชนไทยให้มีโอกาสได้พัฒนาฝีมือทักษะการเล่นเปียโน เป็นการสร้างแรงบันดาลใจและเป้า หมายในการฝึกซ้อม ตลอดจนสร้างโอกาสให้เยาวชนได้แสดงออกต่อสาธารณะ เป็นการเสริมสร้างความมั่นใจ ความภาคภูมิใจ และช่วยส่งเสริมสังคมดนตรีตะวันตกในประเทศไทย

การแข่งขันเปียโนนี้ ได้ดำเนินการ ตามหลักสูตรของ Trinity Guildhall ประเทศอังกฤษ ตามที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานกลาง Ofqual (Office of the Qualifications and Examinations Regulator) ของประเทศอังกฤษที่มีหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมการรับรองคุณวุฒิทางการศึกษา และ EFQ (European Framework of Qualifications) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำหนดโครงสร้างคุณภาพการศึกษาของสหภาพยุโรป โดยการแข่งขันจะยึดถือการแบ่งลำดับเกรดตามหลักสูตรของ Trinity Guildhall ซึ่งจะช่วยให้เยาวชนสามารถศึกษาและฝึกซ้อมดนตรีได้อย่างมีทิศทาง ผู้เข้าแข่งขันจะต้องเลือกบรรเลงเพลงจากหลักสูตรที่กำหนด โดยมีรายละเอียดดังนี้

ประเภทของการแข่งขัน
การแข่งขันแบ่งออก เป็น 4 รุ่น ดังนี้
1. รุ่นจิ๋ว อายุไม่เกิน 10 ปี ในวันที่ 1 ตุลาคม 2553
2. รุ่นเล็ก อายุไม่เกิน 13 ปี ในวันที่ 1 ตุลาคม 2553
3. รุ่นกลาง อายุไม่เกิน 16 ปี ในวันที่ 1 ตุลาคม 2553
4. รุ่นใหญ่ อายุไม่เกิน 19 ปี ในวันที่ 1 ตุลาคม 2553

คุณสมบัติของผู้สมัคร
ผู้ ที่ประสงค์จะสมัครเข้าแข่งขัน จะต้องถือสัญชาติไทย หรือในกรณีที่ผู้สมัครถือสัญชาติอื่น ๆ จะต้องมีหลักฐานการพำนักอยู่ในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 2 ปีในวันที่ 1 ตุลาคม 2553

กฎกติกาการแข่งขัน
1. อาจารย์แต่ละท่านจะส่งนักเรียน เข้าแข่งขันได้ไม่เกินรุ่นละ 3 คนเท่านั้น
2. ผู้เข้าแข่งขันสามารถเข้าแข่งขัน ได้มากกว่า 1 รุ่น แต่ในกรณีได้รับรางวัล จะสามารถได้รับรางวัลในรุ่นที่สูงที่สุดเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น
3. ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะต้องเล่น เพลงบังคับ 1 เพลงตามที่กำหนดสำหรับแต่ละรุ่น โดยสามารถขอสำเนาเพลงบังคับได้จากศูนย์ Trinity Guildhall กรุงเทพมหานคร ในวันที่สมัครแข่งขัน
4. ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะได้ทำการจับ ฉลากลำดับการแข่งขันทันที เมื่อสมัครแข่งขัน
5. เพลงทุกเพลงจะต้องเล่นจากความจำ เท่านั้น และไม่ต้องเล่นย้อน ยกเว้นในกรณีมีการระบุชัดเจนไว้ในโน้ตเพลงว่าให้เล่นย้อน เช่น เครื่องหมาย D.C al Fine หรือข้อความที่ระบุว่า repeat is to be played in the examination
6. ในกรณีที่เลือกเพลงนอกหนังสือสอบ (Alternative List) ของ Trinity Guildhall หรือเลือกเพลงจากหลักสูตร Certificate ต่าง ๆ ผู้เข้าแข่งขันจะต้องส่งสำเนาโน้ตเพลงจำนวน 3 ชุดให้ทางศูนย์ Trinity Guildhall กรุงเทพมหานคร ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2553
7. ผู้เข้าแข่งขัน ไม่สามารถเลือกเล่นเพลงจากผู้ประพันธ์คนเดียวกันมากกว่า 1 เพลงในการแข่งขันแต่ละรอบ
8. ผู้เข้าแข่งขันสามารถเปลี่ยนเพลง จากที่ระบุไว้ในใบสมัครได้ แต่จะต้องกระทำภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2553 เท่านั้น และจะต้องติดต่อและได้คำยืนยัน อนุญาตจากศูนย์ Trinity Guildhall กรุงเทพมหานคร

การตัดสิน
คณะกรรมการประกอบด้วยอาจารย์ผู้ สอบผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่านจากบอร์ดสอบ Trinity Guildhall ประเทศอังกฤษ เกณฑ์การตัดสินของกรรมการจะพิจารณา จากความถูกต้องแม่นยำ ความสามารถทางด้านเทคนิค การสื่อสารอารมณ์เพลง รวมทั้งการเลือกเพลงให้มีความสมดุล (balanced programme) และทักษะการนำเสนอการบรรเลง (presentation skills) โดยคำตัดสินของคณะกรรมการถือเป็นคำตัดสินสูงสุด และคณะกรรมการสงวนสิทธิ์ในการตัดสิน ไม่ให้มีผู้ชนะเลิศหรือ ได้รับรางวัลต่าง ๆ ได้ในกรณีที่ไม่มีผู้ที่เหมาะสม

รายละเอียดการ แข่งขันแต่ละประ เภท

รุ่นจิ๋ว
ข้อกำหนด
ผู้เข้าแข่งขันจะต้อง มีอายุไม่ เกิน 10 ปี ในวันที่ 1 ตุลาคม 2553
ผู้เข้าแข่งขันจะต้องไม่ เคยสอบ ผ่านเกรด 3 หรือสูงกว่า หรือ Foundation Certificate ของ Trinity Guildhall ในวันสมัครเข้าแข่งขัน
เพลงที่ใช้แข่งขัน
เลือกเล่นเพลง จำนวน 3 เพลงจาก Trinity Guildhall – Piano Syllabus 2009-2011 เกรด 1-3 หรือ Foundation Certificate
เพลงบังคับ: Leopold Mozart: Allegro in G (No. 37 from Nannerl Notenbuch, 1759)
เพลงทั้งหมดควรเลือกให้เกิด balanced programme (กรุณาดูรายละเอียดในใบแนบ)
รอบการแข่งขัน
มีการ แข่งขันรอบเดียว โดยผู้เข้าแข่งขันเล่นเพลงบังคับ 1 เพลงและเพลงที่ตนเลือก 3 เพลง

รุ่นเล็ก
ข้อกำหนด
ผู้เข้าแข่งขันจะต้องมีอายุไม่ เกิน 13 ปี ในวันที่ 1 ตุลาคม 2553
ผู้เข้าแข่งขันจะต้องไม่เคยสอบ ผ่านเกรด 5 หรือสูงกว่า หรือ Intermediate Certificate ของ Trinity Guildhall ในวันสมัครเข้าแข่งขัน
เพลงที่ใช้แข่งขัน
เลือกเล่นเพลงจำนวน 3 เพลงจาก Trinity Guildhall – Piano Syllabus 2009-2011 เกรด 4-5 หรือ Intermediate Certificate
เพลงบังคับ: Kuhlau: Sonatina Op. 55 No. 3 in C Major Allegro con spirito
เพลงทั้งหมดควรเลือกให้เกิด balanced programme (กรุณาดูรายละเอียดในใบแนบ)
รอบการแข่งขัน
มีการแข่งขันรอบ เดียว โดยผู้เข้าแข่งขันเล่นเพลงบังคับ 1 เพลงและเพลงที่ตนเลือก 3 เพลง

รุ่น กลาง
ข้อกำหนด
ผู้เข้าแข่งขันจะต้องมีอายุไม่ เกิน 16 ปี ในวันที่ 1 ตุลาคม 2553
ผู้เข้าแข่งขันจะต้องไม่เคยสอบ ผ่านเกรด 8 หรือสูงกว่า หรือ Advanced Certificate ของ Trinity Guildhall ในวันสมัครเข้าแข่งขัน
เพลง ที่ใช้แข่งขัน
เลือกเล่นเพลงจำนวน 3 เพลงจาก Trinity Guildhall – Piano Syllabus 2009-2011 เกรด 6-8 หรือ Advanced Certificate
เพลงบังคับ: Bach: Prelude and Fugue in C minor BWV 871
เพลงทั้งหมดควรเลือกให้เกิด balanced programme (กรุณาดูรายละเอียดในใบแนบ)
รอบการแข่งขัน
การ แข่งขันรอบคัดเลือก: ผู้เข้าแข่งขันเล่นเพลงบังคับและอีกเลือกเล่น 1 เพลงจากเพลงที่เลือกไว้
การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ: ผู้เข้าแข่งขันเล่นเพลงอีก 2 เพลงที่ยังไม่ได้เล่นในรอบคัดเลือก

รุ่น ใหญ่
ข้อกำหนด
ผู้เข้าแข่งขันจะต้องมีอายุไม่ เกิน 19 ปีในวันที่ 1 ตุลาคม 2553
ผู้เข้าแข่งขันจะต้องไม่เคยสอบ ผ่านระดับ ATCL หรือสูงกว่า ของ Trinity Guildhall ในวันสมัครเข้าแข่งขัน
เพลงที่ใช้แข่งขัน
เลือก เล่นเพลงจำนวน 3 เพลงจาก Trinity Guildhall – Diplomas in Music: Performance and Teaching, from 2009 ระดับ ATCL
เพลงบังคับ: Fauré: Barcarolle No. 1 in A minor, op. 26
เพลงทั้งหมดควรเลือกให้เกิด balanced programme (กรุณาดูรายละเอียดในใบแนบ)
รอบการแข่งขัน
การ แข่งขันรอบคัดเลือก: ผู้เข้าแข่งขันเล่นเพลงบังคับและอีกเลือกเล่น 1 เพลงจากเพลงที่เลือกไว้
การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ: ผู้เข้าแข่งขันเล่นเพลงอีก 2 เพลงที่ยังไม่ได้เล่นในรอบคัดเลือก

รางวัล
1. รุ่นจิ๋ว
รางวัลชนะเลิศ โล่พร้อมรางวัลเงินสด 20,000 บาท
รางวัลรอง ชนะเลิศอันดับที่ 1 โล่พร้อมรางวัลเงินสด 15,000 บาท
รางวัลรองชนะเลิศ อันดับที่ 2 โล่พร้อมรางวัลเงินสด 8,000 บาท

2. รุ่นเล็ก
รางวัล ชนะเลิศ โล่พร้อมรางวัลเงินสด 30,000 บาท
รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 โล่พร้อมรางวัลเงินสด 20,000 บาท
รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 โล่พร้อมรางวัลเงินสด 10,000 บาท

3. รุ่นกลาง
รางวัลชนะเลิศ โล่พร้อมรางวัลเงินสด 40,000 บาท
รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 โล่พร้อมรางวัลเงินสด 30,000 บาท
รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 โล่พร้อมรางวัลเงินสด 15,000 บาท

4. รุ่นใหญ่
รางวัลชนะเลิศ โล่พร้อมรางวัลเงินสด 50,000 บาท
รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 โล่พร้อมรางวัลเงินสด 40,000 บาท
รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 โล่พร้อมรางวัลเงินสด 20,000 บาท

5. รางวัลเพลงบังคับยอดเยี่ยม
รุ่น ละ 1 รางวัล โล่พร้อมรางวัลเงินสด 5,000 บาท

6. ประกาศนียบัตร
ผู้ เข้าแข่งขันรุ่นกลางและรุ่น ใหญ่ที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิ ศจะได้รับใบประกาศนียบัตร Competition Finalist
ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะ ได้รับใบ ประกาศนียบัตรการเข้าร่วมการ แข่งขัน

การรับสมัคร
เปิด รับสมัครตั้งแต่วันที่ 2-14 มีนาคม 2553
หลักฐานการสมัคร ได้แก่
1. ใบสมัครที่กรอกครบถ้วน พร้อมลายมือชื่อผู้สมัคร
2. รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว จำนวน 3 ใบ
3. หลักฐานแสดงวันเดือนปีเกิดของผู้ สมัคร เช่น สูติบัตร หรือสำเนาทะเบียนบ้าน หรือบัตรประจำตัวประชาชน
4. ค่าสมัคร 3,500 บาท (ชำระเงินสดในวันสมัครหรือโอนเงินเข้าบัญชี บจ. เอดูโพรเกรส ธนาคารกรุงเทพ กระแสรายวัน เลขที่บัญชี 220-3-02414-2)

ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วม แข่ง ขันด้วยตนเองได้ที่ศูนย์ Trinity Guildhall กรุงเทพมหานคร หรือส่งเอกสารการสมัครพร้อมหลักฐานการโอนเงินมาทางไปรษณีย์ (วันสมัครจะถือตราประทับไปรษณีย์เป็นสำคัญ) ที่
ศูนย์ Trinity Guildhall กรุงเทพมหานคร
ห้อง 403 ชั้น 4 อาคารวานิช 2
เลขที่ 1126/2 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงมักกะสัน
เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
โทร 0-2655-7770 แฟกซ์ 0-2655-7724

* Trinity Guildhall สงวนสิทธิในการปิดรับสมัครทันทีเมื่อจำนวนผู้เข้าแข่งขันเต็ม
** การแข่งขันจะจัดในเดือนตุลาคม 2553 แต่รายละเอียดวันเวลาและสถานที่ ในการแข่งขันจะแจ้งให้ทราบ เป็นขั้นตอนต่อไป

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

Rachmaninoff - Piano Concerto n.3 หนึ่งในบทเพลงที่เล่นยากที่สุดในโลก

วันนี้ลองมาฟังPiano Concerto กัน Soloist คือVladimir Horowitz สุดยอดนักเปียโนชาวรัสเซียคนนึงของโลก โดยมี Subin Metha เป็น Conductor ให้ (นี่ก็สุดยอดConductorเหมือนกัน)
Rachmaninoff - Piano Concerto n.3 เป็นหนึ่งในบทเพลงPiano Concerto ที่ยากที่สุด เนื่องจากใช้เทคนิคในการบรรเลง ขั้นสูงมากๆ ใครจะเล่นเพลงนี้ก็โชคดีนะครับ สําหรับผมเเค่เห็นโน้ตก็ไม่อยากเล่นเเล้ว คลิปนี่เป็นเเค่ส่วนนึงของเพลงนะครับ ยังไม่จบท่อนเเรกเลยด้วยซํ้า เพลงยาวมาก ใครอยากฟังจนจบ ไปSearch ต่อเอาเองนะ

ประวัติ Mozart ตอนที่2



ประวัติ Mozart ตอนที่ 2

สำหรับงานทางดนตรี ในระหว่างที่โมสาร์ทยังเป็นเด็กนั้นเป็นงานที่มีผลทำให้ชื่อเสียงของเขาขจร ขจายไปทั่วยุโรป จักรพรรดิ์ฟรังซิส ถึงกับทรงเรียกเขาว่า “ผู้วิเศษ น้อย” เมื่ออายุ 7 ขวบ เขาแต่งเพลงไวโอลินโซนาตาเสร็จเป็นเพลงแรก อีกปีหนึ่งต่อมาเมื่ออายุ 8 ขวบ ก็แต่งซิมโฟนีได้สำเร็จ

ในการเดินทาง ไปแสดงดนตรีที่อิตาลี นั้น โมสาร์ท ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิก สมาคมชื่อ Philharmonic Society ในเมือง Bologna แต่ยังคงไม่ได้รับเกียรติเท่าที่ควร เนื่องจากโมสาร์ทยังเป็นเด็กอยู่ สันตปาปาก็ชื่นชมในความสามารถของเขาถึงกับแต่งตั้งให้เขาเป็น Cavalier และเป็น King of the Golden Cross ด้วย ซึ่งเป็นยศอัศวิน การให้เกียรติแก่นักดนตรีอย่างนี้ เคยให้แก่คริสโตฟ วิลลิบาลด์ กลุ๊ค มาแล้วเมื่อ 14 ปีก่อนหน้านี้

อิตาลี ใน สายตาของโมสาร์ท เป็นนครที่เขารักมากที่สุดในชีวิต กล่าวได้ว่าโมสาร์ทหลงใหลใฝ่ฝันต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของอิตาลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปรากรของอิตาลี แม้กระทั่งชื่อโมสาร์ทก็พยายามเปลี่ยนให้เหมือนชาวอิตาเลียน โดยได้เปลี่ยนชื่อกลางซึ่งเดิมชื่อ Gottlieb แปลว่า ผู้เป็นที่รักของพระเจ้า มาเป็น Amadeus ซึ่งแปลว่าผู้เป็นที่รักของพระเจ้าเช่นเดียวกัน ตอนนั้นโมสามาร์ทหายใจเข้าออกเป็นอิตาลีไปหมด จนมีผู้กล่าวว่าโมสามาร์ทถูกมนต์ขลังของอิตาลีครอบงำจิตใจเสียแล้ว

อนาคตอันบรรเจิดจ้า เปล่งแสงงามระยับรอคอยโมสาร์ทอยู่ตลอดมานั้น ดูเหมือนจะดับวูบลงโดยกระทันหัน เพราะหลังจากที่โมสาร์ทและพ่อกลับมาซาลสเบอร์กแล้ว ก็ได้เข้าไปเล่นไวโอลินอยู่ในวง Orchestra ของ อา ร์ชบิชอบ ซึ่งมีน้ำใจกว้างขวาง โอบอ้อมอารี แต่แล้วอาร์ชบิชอบ ผู้อารีก็สิ้นชีวิตลงขณะที่ อาร์ชบิชอบ ไฮโรนีมุส ผู้อารียังมีชีวิตอยู่นั้น ได้สนับสนุนให้โมสาร์ทกับพ่อได้เดินทางไปเล่นไวโอลินในที่ต่าง ๆ เป็นประจำ ซึ่งทำให้สองพ่อลูกได้มีโอกาสสร้างชื่อเสียงและมีรายได้ไม่ขาดระยะ เมื่อ ไฮโรนีมุสHeironymus ตายไป Colloredo ได้ดำรงตำแหน่งแทน โมสาร์ทและพ่อถูกห้ามไม่ให้เดินทางไปเล่นไวโอลิน โดยคำสั่งของท่านอาร์ชบิชอบคนใหม่ ดังนั้น โมสาร์ทจึงจำต้องลาออกจากวงดนตรีของอาร์ชบิชอบ

เมื่อขาดผู้ ส่งเสริมให้เดินทางไปเล่นดนตรีในสถานที่ต่าง ๆ เช่นนั้น โมสาร์ทก็รู้สึกอึดอัดใจ เพราะนั่นหมายถึงว่าครอบครัวของเขาจะต้องทรุดหนักในด้านการเงิน ดังนั้น เขาจึงตั้งใจเดินทางไปต่างประเทศเผื่อว่าจะประสบโชคเข้าบ้าง เขาเดินทางออกจากซารค์ลสเบอร์กไปพร้อมกับแม่ด้วยความอาลัยรักของผู้เป็นพ่อ เพราะตั้งแต่เด็กมาจนกระทั่งเป็นหนุ่ม โมสาร์ทไม่เคยแยก จากพ่อเลย เห็นพ่อที่ไหนจะเห็นโมสาร์ทที่นั่น หรือเห็นมาสาร์ทที่ไหนก็จะต้องเห็นพ่อของเขาที่นั่น ทั้งสองเป็นประหนึ่งบุคคลคนเดียวกัน ดังนั้นเมื่อต้องมาแยกจากกันเป็นครั้งแรกเช่นนี้ ความรักความอาลัยของผู้เป็นพ่อย่อมจะต้องมีเป็นธรรมดา พ่อของโมสาร์ทยืนน้ำตาคลอหน่วยโบกมือให้แก่โมสาร์ท ผู้ซึ่งกำลังจะเดินทางไปหาความมั่นคงมาให้แก่ครอบครัว พ่อของโมสาร์ทนั้น ถึงแม้จะเศร้าใจเพียงใดก็ต้องตัดใจปล่อยให้ลูกไป โดยกำชัยผู้เป็นแม่ให้คอยควบคุมดูแลลูกให้ดี นี่จะเห็นได้ว่า โมสาร์ท่ถึงแม้ในขณะนั้นจะเป็นหนุ่มแล้ว แต่ก็ยังเป็นเด็กในสายตาของพ่อแม่เสมอ

การเดินทางของ โมสาร์ท พร้อมกับแม่ครั้งนี้ ไม่ได้ผลสมปรารถนา เพราะเขาไม่ได้รับการต้อนรับเท่าที่ควร ดังนั้นเงินทองที่นำติดตัวไปด้วยก็ร่อยหรอลงไปทุกวัน แม่ของเขารู้สึกเศร้าใจในโชคชะตาของลูกและครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง

ขณะที่อยู่ใน มันน์ไฮม์ โมสาร์ทพบวง Orchestra ดีที่สุดใน ยุโรป ณ ที่นี้เองเขาได้แต่งเพลงให้แก่เจ้าเมืองของมันน์ไฮม์ หลายเพลงด้วยกัน โดยหวังว่าคงได้รับตำแหน่งอยู่ในราชสำนักบ้าง แต่ว่าสิ่งที่โมสาร์ทได้รับนั้น มันไม่ใช่ตำแหน่งหน้าที่อะไรที่ไหน มันเป็ฯเพียงคำเยินยอหลอกใช้เท่านั้นเอง ณ ที่มันน์ไฮม์นี่เองโมสาร์ทเริ่มสนใจเปียโน ซึ่งเขาชอบมากกว่าฮาร์พซิคอร์ด และคลาวิคอร์ด โมสาร์ทเล่นได้ดีมากทีเดียว ทำความพิศวงแก่ผู้ที่ได้ฟังทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง

บุตรของโมสาร์ท

นิยายรักของโมสาร์ทได้ เริ่มขึ้นที่ มันน์ไฮน์นี้เช่นกัน โดยที่โมสาร์ทได้ตกหลุมรักของหญิงสาวคนหนึ่ง ชื่อ อลอยเซีย เวเบอร์ แม่ของโมสาร์ทรีบรายงานพฤติการณ์ณ์ของลูกชายไปให้ผู้เป็นพ่อทราบทันที พ่อของโมสาร์ทรู้สึกตกใจมาก เขียดจดหมายสั่งให้โมสาร์ทรีบไปหางานทำในปารีสทันที

เมื่อกลับมายังปารีสอีกครั้ง ปรากฎว่าขุนนางและชาวฝรั่งเศสซึ่งครั้งหนึ่งเคยให้การต้อนรับเขาอย่างเกรียว กราว เคยเข้าไปรุมล้อมจูบโมสาร์ททั้งหน้าหลัง เมื่อครั้งเขาไปเล่นไวโอลินในขณะที่ยังเป็นเด็ก แต่การกลับมาคราวนี้ โมสาร์ทต้องประสบความผิดหวังอย่างมาก ซึ่งเพิ่มความช้ำใจให้แก่เขาอีก หลังจากต้องพรากจาก อลอยเซียมาแล้ว ทั้งนี้เพราะโมสาร์ทไม่ได้รับนิยมเสียแล้ว ชีวิตของเขาต้อนนี้ดูเหมือนจะถูก “ผีซ้ำด้ำพลาย” เป็นการใหญ่ เพราะในขณะที่อยู่ในนครปารีสนั้นเอง แม่ของเขาก็สิ้นชีวิตลงโดยกระทันหัน ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1778 ก่อให้เกิดความเศร้าสลดแก่โมสาร์ทเป็นอย่างมาก

ดังนั้นโม สาร์ทจึงกลับไปซาร์ลสเบอร์ก และได้เข้าร่วมอยู่ในวงดนตรีของอาร์ชบิชอบ โคลโลเรโดอีก โคลโลเรโดได้นำวงดนตรีเดินทางไปแสดงที่กรุงเวียนนา ในฤดูใบไม้ผลิ ปี ค.ศ.1781 การเดินทางไปครั้งนี้

เป็นที่พอใจของโมสาร์ทมาก เพราะเขาจะได้ไปยังเมืองที่เขารักมากที่สุดอีกครั้งหนึ่ง แต่เมื่อ โคล โลเรโด สั่งให้วงดนตรีย้ายไปเล่นที่อื่น โมสาร์ทรู้สึกไม่พอใจจึงลา ออก

โมสาร์ท ได้แต่งงานกับ คอนสตันซ์ เวเบอร์ น้องสาวของอลอยเซีย เวเบอร์ ซึ่งเขาเคยรักมาก่อนนั่นเอง โมสาร์ทได้นำเอาชื่อของเมียไปตั้งเป็นชื่อของนางเอกในอุปรากรที่เขาเขียน ขึ้นชื่อ The Escape from Seraglio โมสาร์ทได้นำอุปรากร เรื่องนี้ไปแสดงที่กรุงเวียนนา แต่ก็ไม่ได้ผล คนดูเดินออกก่อนอุปรากรเลิกทุกรอบ แต่อย่างไรก็ตามจากอุปรากรเรื่องนี้ จักรพรรดิ์โจเซป ได้รับโมสาร์ทไว้ในวงดนตรีของพระองค์ เพราะพระองค์ชอบอุปรากรของโมสาร์ทมาก ถึงกับออกปากชมเชยอยู่เรื่อย ๆ ถึงแม้วาจักรพรรดิ์โจเซฟจะทรงอุปถัมภ์โมสาร์ทด้วยความพอพระทัยในฝีมือเขียน อุปรากรของเขาก็ตาม แต่พระองค์ให้เงินค่าตอบแทนต่อนักแต่งเพลงผู้นี้น้อยเหลือเกิน จนกระทั่งโมสาร์ทกล่าวกับตนเองอยู่เสมอว่า เขาพยายามสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อคนอื่นจนสุดความสามารถของตน แต่ผลตอบแทนที่ได้รับไม่คุ้มค่ากันเลย

งานในด้านแต่งเพลงของโมสาร์ทเด่นขึ้น เมื่อเขาได้มีโอกาสรู้จักกับไฮเดิน นักคนตรีผู้ยิ่งใหญ่แห่งเวียนนาและได้เป็นผู้สอนการเขียนเพลง ควอเตท ให้แก่โมสาร์ท จากนั้นโมสาร์ทได้แต่งเพลง String quartets ขึ้นหลายเพลง ซึ่งไพเราะมาก เขาได้อุทิศ quartet ตลอดจนให้กำลังใจแก่เขา ความจริงไฮเดินก็ได้บางสิ่งบางอย่างไปจากโมสาร์ทเหมือนกัน ไฮเดินมีความชื่นชมในการเล่นเปียโนของโมสาร์ทมาก ไฮเดินเคยกล่าวกับพ่อของโมสาร์ทเมื่อครั้งที่เลโอโปลด์ไปเยี่ยมลูกชายที่ เวียนนา “ผมขอประกาศต่อท่านด้วยเกียรติยศว่า ลูกชายของท่านเป็นนักแต่งเพลงผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา” (I declare to you upon my honor that I consider you son the greatest composer that I have heard)

ในเรื่อง เกี่ยวกับครอบครัวของเขา หลังจากการแต่งงานได้ 9 ปี โมสาร์ทได้รับความสุขบ้างพอสมควร เขา มีลูกกับคอนสตันซ์ เวเบอร์ ทั้งหมดด้วยกัน 6 คน หลังจากนั้นการดำรงชีพชักฝืดเคืองเพราะมีสมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้น รายได้ไม่สมดุลกับรายจ่าย เมียเป็นคนใช้เงินเก่ง ทั้งการบ้านการเรือนไม่ค่อยเอาใจใส่เท่าที่ควร ครอบครัวของโมสาร์ทจึงประสบมรสุมทางการเงินอย่างหนัก ต้องกู้หนี้ยืมสินมาประทังชีวิตในครอบครัว และตัวโมสาร์ทเองก็ต้องทำงานอย่างหนัก

งานของโมสา ร์ทีมากกว่า 200 ชิ้น นับว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถในการแต่งเพลงชั้นยอดเยี่ยมผู้หนึ่ง เริ่มตั้งแต่เพลง String quartets ที่เด่นที่สุด 10 เพลง, Piano quartets 2 เพลง, Piano quintets อีก 2 เพลง, Piano concertos 30 กว่าเพลง, Violin concertos 7 เพลง, Flute concertos 3 เพลง, อุปรากร 22 เรื่อง, ซิมโฟนีเขียนไว้ 41 เพลง นอกจากนั้นยังมีอื่น ๆ อีกมาก

งานด้าน อุปรากรนั้น ในปี ค.ศ.1786 โมสาร์ทได้ร่วมมือกับ ลอเรนโซ ดา พอนเต้ ซึ่งเป้นผู้เชียวชาญประจำโรงละครหลวงในกรุงเวียนนา เขียน ‘Marriage of Figaro’ ขึ้น อุปรากรเรื่องนี้เมื่อแสดงครั้งแรกไม่ประสบความสำเร็จดังหวัง แต่ต่อมามีคนนำไปแสดงที่กรุงปร๊าค นครหลวงของโบเฮเมีย (เชคโกสโลวาเกีย) ได้รับความสำเร็จอย่างงดงาม ค.ศ.1787 เขียนอุปรากรเรื่อง ดอน โจวันนี สำเร็จ ซิมโฟนีรุ่นสุดท้ายมี 3 เพลง ซึ่งเป็นซิมโฟนีอันยิ่งใหญ่ของโมสาร์ทสำเร็จลงภายในระหว่างฤดูร้อนของปี ค.ศ.1788 ได้แก่เพลงซิมโดนีนัมเบอร์ 39 E Flat Major, นับ เบอร์ 40 G Minor, นับเบอร์ 41 C Major (‘Jupiter’) ซึ่งมีความเด่นเป็นเอกกว่าซิมโฟนีทั้งหลายของโมสาร์ท สำหรับนับเบอร์ 41 ที่ชื่อ Jupier นี้ไม่ทราบว่าใครเป็นคนตั้ง เพราะโมสาร์ทไม่ได้เป็นคนตั้ง อุปรากรที่ร่วมกับลอเรนโซ ดา พอนเต้ เมื่อปี ค.ศ.1790 อันหลังสุดได้แก่ Cosi Fan Tutte

โมสาร์ทได้ เขียนเพลงมากมาย ยิ่งเขียนมากขึ้นเท่าไหร่แนวการเขียนก็ยิ่งแปลกขึ้นเท่านั้น และไม่ค่อยจะซ้ำแบบเดิม ซึ่งเป็นการยากที่นักแต่งเพลงอื่น ๆ จะทำได้ อุปรากรเรื่องสุดท้ายในชีวิตของโมสาร์ท คือ The Magic Flute ซึ่งเขียนขึ้นขณะที่กำลังป่วยและอยู่ในภาวะเศร้าโศก เพราะมีเรื่องคับแค้นในเรื่องครอบครัว แต่ถึงอย่างนั้นก็ปรากฏว่าท่วงทีทำนองและลีลาของเพลงเต็มไปด้วยชีวิตและ ร่าเริงแจ่มใส เพลงนี้เขียนขึ้นในปี ค.ศ.1791

โมสาร์ทได้พยายามแต่งเพลง Requiem (เพลงเกี่ยวกับงานศพ) ให้แก่เคาน์ท์ลัวเซกก์ เพื่อเป็นที่ระลึกให้แก่ภรรยาที่ตายไปแล้ว โมสาร์ทแต่งไปได้ไม่มากนักก็เสียชีวิตเสียก่อน ตกลงก็เป็นอันว่าเพลง Requiem นี้แต่งขึ้นเพื่องานศพของตนเอง เพราะต่อมาวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ.1791 โมสาร์ทก็จากโลกไปด้วยโรคไข้ไทฟลอย์ที่เวียนนา เขาตายขณะที่กำลังยากจนแสนเข็ญ และมีหนี้สินรุงรัง ภรรยาไม่มีเงินจะทำศพให้สามี เอเฟน ฟาน สวีเดน ผู้ใจบุญได้ช่วยจัดการในพิธีฝังศพให้

อนุสรณ์ สถาน โมสาร์ท

ขณะที่ โมสาร์ทตายนั้น เขาอายุเพียง 35 ปีเท่านั้น เขาตายอย่างน่าอนาถ เพราะเขาต้องเผชิญกับความหิว ความหนาวและเข็ญใจ ไร้ญาติขาดมิตร ขณะที่นำศพไปฝังในตอนบ่ายวันที่เขาตายนั้น มีพายุฝนอย่างรุนแรง หิมะและลูกเห็บตกลงมาอย่างหนัก ทำให้คนเดินติดตามไปฝังศพต้องยอมแพ้ไม่ยอมตามไป ภรรยาของเขาก็ไม่ได้ตามไปด้วยเพราะกำลังป่วยอยู่ ฉะนั้น จึงไม่มีญาติมิตรคนใดไปดูการฝังศพของเขา คงปล่อยให้สัปเหร่อ 2-3 คน จัดการไปตามลำพัง ณ ป่าช้าสำหรับคนอนาถาที่ เซนต์ มารุกซ ในกรุงเวียนนา โดยไม่ได้ทำเครื่องหมายอันใดไว้เลย เพราะทำกันอย่างรีบ ๆ จึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่ง พอมีการระลึกถึงคุณค่าทางดนตรีของเขาขึ้นมา ต้องการที่จะคาราวะศพ และจะจัดสร้างอนุสาวรีย์ให้แก่เขา ก็ไม่สามารถจะค้นหาหลุมฝังศพของเขาพบ นี่แหละคือชีวิตของ โวล์ฟ กัง อมาเดอุส โมสาร์ท นักดนตรีชื่อก้องโลกผู้อาภัพที่สุด

ขอขอบคุณ

ที่มา : หนังสือนักดนตรีเอกของโลก เขียนโดย ทวี มุขธระโกษา


Update : 21 Feb 2010 11:45

ประวัติ Mozart ตอนที่1

ประวัติ Mozart ตอนที่ 1

เกิดที่ : ซาลสเบร์ก ออสเตรีย 27 มกราคม ค.ศ.1756

เสียชีวิต ที่ : เวียนนา ออสเตรีย 5 ธันวาคม ค.ศ. 1791

โมสาร์ท เป็นนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ของโลกคนหนึ่ง ที่มีอัจฉริยภาพทางดนตรีมาแต่กำเนิด เมื่อเขายังเล็ก ๆ อยู่นั้น มักจะไปยืนเกาะฮาร์พซิคอร์ด ดูพ่อกำลังสอน Nannerl พี่สาวของเขาให้เล่นคลาเวียร์อยู่ด้วยความตั้งอกตั้งใจ ดูไปดูมาก็อยากจะเล่นได้อย่างพี่สาว ก็เลยเอ่ยปากขอเล่นบ้าง แต่พ่อบอกว่ายังเด็กยังเล็กอยู่จะเล่นเห็นจะยังไม่เหมาะ ขอให้โตกว่านี้อีกหน่อยซิพ่อจะสอนให้

เมื่อโมสาร์ทอายุได้ 4 ขวบ พ่อก็เริ่มฝึกหัดให้เขาเรียนดนตรีอย่างจริงจัง โมสาร์ทสามารถเรียนรู้อะไร ๆ จากพ่อได้อย่างรวดเร็ว หูของเขาสามารถฟังเสียงดนตรีได้อย่างแม่นยำ และบอกเสียงต่าง ๆ ได้ถูกต้อง พ่อเริ่มเห็นความสามารถพิเศษที่สวรรค์ประทานพรมาให้ลูกชายของเขาแล้ว จึงได้ตั้งใจทุ่มเทเวลามาฝึกหัด และวางรากฐานทางดนตรีตลอดจนหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ถูกต้องให้แก่ลูกชายของเขา

โวล์ฟกัง อมาเดอุส โมสาร์ท เกิดเมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ.1759 (พ.ศ.2295) ที่เมืองซาลสเบอร์ก ออสเตรีย เป็นลูกชายของ เลโอโปลด์ โมสาร์ท นักดนตรีผู้มีชื่อเสียงของออสเตรีย เป็นนักแต่งเพลงและครูสอนดนตรี มีความสามารถทางไวโอลินเป็นเยี่ยม มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าวงดนตรีประจำสำนักของอาร์ชบิชอพ ที่ซาลสเบอร์ก แม่ชื่อ เฟรา อันนา โมสาร์ท เป็นผู้หญิงธรรมดาที่พอใจในงานแม่บ้านแม่เรือน และมีความรักลูก ๆ เหมือนแม่ทั้งหลาย โมสาร์ทมีพี่น้องทั้งหมด 7 คน แต่ตายไปเสีย 5 คน คงเหลือแต่เพียงมาเรีย แอนนา หรือ Nannerl พี่สาวซึ่งมีอายุแก่กว่าเขา 4 ปี และตัวเขาเอง เพียง 2 คนเท่านั้น เด็กน้อยโมสาร์ทเป็นคนที่มีรูปร่างสง่า มีใบหน้าสวย มีริมฝีปากงามละไม จมูกโด่ง มีแววตาอ่อนโยนคล้ายผู้หญิง มีกิริยาละมุนละม่อมสงบเสงี่ยมและเป็นคนช่างคิดช่างฝัน

เมื่ออายุเพียง 5 ขวบเท่านั้น โมสาร์ทก็มีความสามารถในการแต่งเพลงได้แล้ว เพลงแรกที่เขาแต่งนั้นคือการแต่งเติมเพลง minuet ของพ่อที่ได้แต่งค้างไว้ยังไม่เสร็จ ความไพเราะของเพลงตอนที่โมสาร์ทแต่งเติมนั้นไพเราะยิ่งนัก ทำความประหลาดใจแก่ผู้ได้ฟังเป็นอย่างมาก เมื่ออายุ 6 ปี ในวันเกิดนั้น โมสาร์ทได้รับไวโอลินเล็กๆ อันหนึ่ง เป็นของขวัญ จึงได้เริ่มเอาใจใส่กับเครื่องดนตรีชิ้นนี้ และขอร้องให้พ่อสอนให้ แต่พ่อไม่เอาใจใส่บอกว่าเพียงแต่การเล่นคลาเวียร์ และการแต่งเพลงก็นับว่ามากพออยู่แล้ว แต่โมสาร์ทก็ไม่ยอมแพ้ จึงได้ยายามฝึกฝนด้วยตนเอง

ครอบครัว Mozart

ต่อมาไม่นานนัก โมสาร์ทก็แสดงความสามารถทางไวโอลินให้ปรากฏในวันหนึ่ง ขณะที่มีการเล่นดนตรีกันที่บ้าน มีนักดนตรีมาร่วมเล่นกับพ่อของเขา โมสาร์ทขอร่วมวงด้วยพ่อไม่อนุญาต แต่ทนความรบเร้าของลูกชายไม่ไหวก็เลยอนุญาตให้เล่นด้วย แต่ให้เล่นเพียงเบา ๆ เมื่อเพลงทริโอเริ่มเล่นไปได้สักครู่ ทุกคนก็ต้องประหลาดใจเพราะโมสาร์ทสามารถเล่นได้อย่างมหัศจรรย์ ทุกคนพากันหยุดเล่น ได้แต่มองดูตากันไปมา และปล่อยให้โมสาร์ทเล่นไปคนเดียวจนจบเพลง จากความสามารถของโมสาร์ทครั้งนี้ ทำความทึ่งให้แก่พ่อของเขาไม่น้อย การศึกษาทางไวโอลินของโมสาร์ทจึงดำเนินไปอย่างจริงจังและพ่อก็ทำการซ้อมเล่น ไวโอลินให้เขาพร้อมกับ Nannerl พี่สาวเกือบทุกวัน พ่อของโมสาร์ทได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะปั้นให้ลูกชายเป็นนักไวโอลินเอก ของโลกให้ได้

โมสาร์ท นอกจากจะมีความสามารถในการเล่นไวโอลินแล้วยังสามารถในการเล่นดนตรีชนิดอื่น อีก เช่น ออร์แกน คลาเวียร์ เพลงที่เขาแต่งก็ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของวิชาดนตรีทุกประการ เมื่อพ่อได้ประจักษ์ในความสามารถของลูกชายแล้ว จึงพาโมสาร์ทพร้อมด้วยมาเรีย แอนนาออกเดินทางไปแสดงดนตรีในที่ต่าง ๆ หลายแห่งทั่วยุโรป ปรากฎว่าได้รับความสำเร็จอย่างงดงามทุกแห่ง ผู้ฟังชื่นชมในอัจฉริยภาพของโมสาร์ทน้อยอยู่ทั่วกัน ชื่อเสียงของโมสาร์ทจึงรุ่งโรจน์มาตั้งแต่เยาย์วัย เขาได้รับความยกย่องนับถือจากวงสังคมทุกแต่ง ตั้งแต่ประชาชนเดินถนนจนถึงราชสำนัก โมสาร์ทได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากราชสำนักทุกแห่ง เช่น ออสเตรีย เยอรมันนี ฝรั่งเศส และอังกฤษ การเดินทางไปแสดงดนตรีครั้งนี้พ่อของโมสาร์ทต้องการให้ลูกสาวและลูกชายได้มี โอกาสแสดงฝีมือทางดนตรีและเป็นการท่องเที่ยวไปด้วย

สถานที่แห่งแรกของการเดินทางใน ครั้งนี้ก็คือ เมืองมิวนิคที่นั้นโมสาร์ทและพี่สาวได้เล่นดนตรีถวายเจ้าชายแห่งบาวาเรีย และพระเจ้าโยเซฟที่ 3 จากนั้นก็เดินทางไปเล่นดนตรีถวาย พระนางมาเรีย เทเรซา ที่กรุงเวียนนา ออสเตรีย ซึ่งเป็นราชินีที่ยิ่งใหญ่พระหนึ่ง โมสาร์ทได้รับการจุมพิตจากสมเด็จพระราชินีพระองค์นี้ที่ได้ประทานให้แก่เขา ด้วยความเอ็นดู

แต่เหตุการณ์สำคัญที่ โมสาร์ทจะลืมไม่ได้ก็คือ ระยะเวลาที่อยู่แสดงดนตรีในกรุงเวียนนานั้น โมสาร์ทได้มีโอกาสคลุกคลีอยู่กับบรรดาพระราชโอรส และพระราชธิดาของพระนางมาเรีย เทเรซา ในขณะนั้นมาสาร์ทอายุ 6 ขวบ พระราชธิดาพระองค์หนึ่งของพระนางมาเรีย เทเรซาได้ให้ความสนิทสนมต่อเขาอย่างมาก เคยกอดรัดโมสาร์ท เคยปลอบประโลมให้เขาหายเศร้า เป็นเพื่อนที่ดีของเขาในยามทุกข์ยากและยามสุข วึ่งจะเห็นได้ว่า ครั้งหนึ่งโมสาร์ทเข้าเฝ้าพระนางมาเรีย เทเรซา ซึ่งมีพระราชโอรสและพระราชธิดาอยู่พร้อม โมสาร์ทได้สะดุด ดาบที่แขวน ขณะที่แต่งเครื่องแบบเต็มยศเข้าเฝ้าเพราะความไม่คุ้นเคย พระราชธิดาพระองค์นั้น ยังเข้าไปจูบปลอบเขาซึ่งกำลังร้องได้อยู่ให้คายได้ ซึ่งโมสาร์ทเองก็รู้สึกซาบซึ้งในมิตรภาพของพระราชธิดามาก จึงกล่าวตามประสาเด็ก ๆ ออกมาว่าเขาขอสัญญาว่าเมื่อเขาโตเป็นหนุ่มเขาจะขอแต่งงานกับพระนาง แต่โมสาร์ทในขณะนั้นคงไม่รู้หรอกว่า ขณะนั้นเขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับพระราชินีผู้ยิ่งใหญ่ของโลกคนหนึ่งในเวลา ต่อมา เพราะพระราชธิดาพระองค์นั้น ต่อมาก็คือพระนางมารี อังตัวเนตต์ มเหสีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศสนั่นเอง

การได้รับการจุมพิตจากพระ นางมาเรีย เทเรซา และการโอบกอดจากพระราชธิดา ควรนับได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ดีและรุ่งโรจน์สำหรับโมสาร์ทอย่างยิ่ง แต่อนิจจา สวรรค์หาได้โอบอุ้มชีวิตของเขาตลอดไปไม่ สวรรค์ช่างใจร้ายเหลือเกิน พรที่สวรรค์ประทานแก่โมสาร์ทในทางดนตรีเกือบจะไม่มีความหมายต่อเขาเลยแม้แต่ น้อย ทั้งนี้เพราะสวรรค์มิได้ประสาทพรในด้านความรักให้แก่เขาเลย

ดังนั้นแม้ว่า โมสาร์ท จะเป็นคนรูปหล่อน่ารัก เฉลียวฉลาด และมีอัจฉริยะในทางดนตรีก็ตาม แต่ในด้านความรักแล้วเขาค่อนข้างจะอาภัพอยู่สักหน่อย ซึ่งเราจะได้ดูกันต่อไป

ติดตามอ่าน ประวัติ ตอน 2 โวล์ฟกัง อมาเตอุส โมสาร์ท

ขอขอบคุณ

ที่มา : หนังสือนักดนตรีเอกของโลก เขียนโดย ทวี มุขธระโกษา