สำหรับงานทางดนตรี ในระหว่างที่โมสาร์ทยังเป็นเด็กนั้นเป็นงานที่มีผลทำให้ชื่อเสียงของเขาขจร ขจายไปทั่วยุโรป จักรพรรดิ์ฟรังซิส ถึงกับทรงเรียกเขาว่า “ผู้วิเศษ น้อย” เมื่ออายุ 7 ขวบ เขาแต่งเพลงไวโอลินโซนาตาเสร็จเป็นเพลงแรก อีกปีหนึ่งต่อมาเมื่ออายุ 8 ขวบ ก็แต่งซิมโฟนีได้สำเร็จ
ในการเดินทาง ไปแสดงดนตรีที่อิตาลี นั้น โมสาร์ท ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิก สมาคมชื่อ Philharmonic Society ในเมือง Bologna แต่ยังคงไม่ได้รับเกียรติเท่าที่ควร เนื่องจากโมสาร์ทยังเป็นเด็กอยู่ สันตปาปาก็ชื่นชมในความสามารถของเขาถึงกับแต่งตั้งให้เขาเป็น Cavalier และเป็น King of the Golden Cross ด้วย ซึ่งเป็นยศอัศวิน การให้เกียรติแก่นักดนตรีอย่างนี้ เคยให้แก่คริสโตฟ วิลลิบาลด์ กลุ๊ค มาแล้วเมื่อ 14 ปีก่อนหน้านี้
อิตาลี ใน สายตาของโมสาร์ท เป็นนครที่เขารักมากที่สุดในชีวิต กล่าวได้ว่าโมสาร์ทหลงใหลใฝ่ฝันต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของอิตาลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปรากรของอิตาลี แม้กระทั่งชื่อโมสาร์ทก็พยายามเปลี่ยนให้เหมือนชาวอิตาเลียน โดยได้เปลี่ยนชื่อกลางซึ่งเดิมชื่อ Gottlieb แปลว่า ผู้เป็นที่รักของพระเจ้า มาเป็น Amadeus ซึ่งแปลว่าผู้เป็นที่รักของพระเจ้าเช่นเดียวกัน ตอนนั้นโมสามาร์ทหายใจเข้าออกเป็นอิตาลีไปหมด จนมีผู้กล่าวว่าโมสามาร์ทถูกมนต์ขลังของอิตาลีครอบงำจิตใจเสียแล้ว
อนาคตอันบรรเจิดจ้า เปล่งแสงงามระยับรอคอยโมสาร์ทอยู่ตลอดมานั้น ดูเหมือนจะดับวูบลงโดยกระทันหัน เพราะหลังจากที่โมสาร์ทและพ่อกลับมาซาลสเบอร์กแล้ว ก็ได้เข้าไปเล่นไวโอลินอยู่ในวง Orchestra ของ อา ร์ชบิชอบ ซึ่งมีน้ำใจกว้างขวาง โอบอ้อมอารี แต่แล้วอาร์ชบิชอบ ผู้อารีก็สิ้นชีวิตลงขณะที่ อาร์ชบิชอบ ไฮโรนีมุส ผู้อารียังมีชีวิตอยู่นั้น ได้สนับสนุนให้โมสาร์ทกับพ่อได้เดินทางไปเล่นไวโอลินในที่ต่าง ๆ เป็นประจำ ซึ่งทำให้สองพ่อลูกได้มีโอกาสสร้างชื่อเสียงและมีรายได้ไม่ขาดระยะ เมื่อ ไฮโรนีมุสHeironymus ตายไป Colloredo ได้ดำรงตำแหน่งแทน โมสาร์ทและพ่อถูกห้ามไม่ให้เดินทางไปเล่นไวโอลิน โดยคำสั่งของท่านอาร์ชบิชอบคนใหม่ ดังนั้น โมสาร์ทจึงจำต้องลาออกจากวงดนตรีของอาร์ชบิชอบ
เมื่อขาดผู้ ส่งเสริมให้เดินทางไปเล่นดนตรีในสถานที่ต่าง ๆ เช่นนั้น โมสาร์ทก็รู้สึกอึดอัดใจ เพราะนั่นหมายถึงว่าครอบครัวของเขาจะต้องทรุดหนักในด้านการเงิน ดังนั้น เขาจึงตั้งใจเดินทางไปต่างประเทศเผื่อว่าจะประสบโชคเข้าบ้าง เขาเดินทางออกจากซารค์ลสเบอร์กไปพร้อมกับแม่ด้วยความอาลัยรักของผู้เป็นพ่อ เพราะตั้งแต่เด็กมาจนกระทั่งเป็นหนุ่ม โมสาร์ทไม่เคยแยก จากพ่อเลย เห็นพ่อที่ไหนจะเห็นโมสาร์ทที่นั่น หรือเห็นมาสาร์ทที่ไหนก็จะต้องเห็นพ่อของเขาที่นั่น ทั้งสองเป็นประหนึ่งบุคคลคนเดียวกัน ดังนั้นเมื่อต้องมาแยกจากกันเป็นครั้งแรกเช่นนี้ ความรักความอาลัยของผู้เป็นพ่อย่อมจะต้องมีเป็นธรรมดา พ่อของโมสาร์ทยืนน้ำตาคลอหน่วยโบกมือให้แก่โมสาร์ท ผู้ซึ่งกำลังจะเดินทางไปหาความมั่นคงมาให้แก่ครอบครัว พ่อของโมสาร์ทนั้น ถึงแม้จะเศร้าใจเพียงใดก็ต้องตัดใจปล่อยให้ลูกไป โดยกำชัยผู้เป็นแม่ให้คอยควบคุมดูแลลูกให้ดี นี่จะเห็นได้ว่า โมสาร์ท่ถึงแม้ในขณะนั้นจะเป็นหนุ่มแล้ว แต่ก็ยังเป็นเด็กในสายตาของพ่อแม่เสมอ
การเดินทางของ โมสาร์ท พร้อมกับแม่ครั้งนี้ ไม่ได้ผลสมปรารถนา เพราะเขาไม่ได้รับการต้อนรับเท่าที่ควร ดังนั้นเงินทองที่นำติดตัวไปด้วยก็ร่อยหรอลงไปทุกวัน แม่ของเขารู้สึกเศร้าใจในโชคชะตาของลูกและครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง
ขณะที่อยู่ใน มันน์ไฮม์ โมสาร์ทพบวง Orchestra ดีที่สุดใน ยุโรป ณ ที่นี้เองเขาได้แต่งเพลงให้แก่เจ้าเมืองของมันน์ไฮม์ หลายเพลงด้วยกัน โดยหวังว่าคงได้รับตำแหน่งอยู่ในราชสำนักบ้าง แต่ว่าสิ่งที่โมสาร์ทได้รับนั้น มันไม่ใช่ตำแหน่งหน้าที่อะไรที่ไหน มันเป็ฯเพียงคำเยินยอหลอกใช้เท่านั้นเอง ณ ที่มันน์ไฮม์นี่เองโมสาร์ทเริ่มสนใจเปียโน ซึ่งเขาชอบมากกว่าฮาร์พซิคอร์ด และคลาวิคอร์ด โมสาร์ทเล่นได้ดีมากทีเดียว ทำความพิศวงแก่ผู้ที่ได้ฟังทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง
|  บุตรของโมสาร์ท | นิยายรักของโมสาร์ทได้ เริ่มขึ้นที่ มันน์ไฮน์นี้เช่นกัน โดยที่โมสาร์ทได้ตกหลุมรักของหญิงสาวคนหนึ่ง ชื่อ อลอยเซีย เวเบอร์ แม่ของโมสาร์ทรีบรายงานพฤติการณ์ณ์ของลูกชายไปให้ผู้เป็นพ่อทราบทันที พ่อของโมสาร์ทรู้สึกตกใจมาก เขียดจดหมายสั่งให้โมสาร์ทรีบไปหางานทำในปารีสทันที
เมื่อกลับมายังปารีสอีกครั้ง ปรากฎว่าขุนนางและชาวฝรั่งเศสซึ่งครั้งหนึ่งเคยให้การต้อนรับเขาอย่างเกรียว กราว เคยเข้าไปรุมล้อมจูบโมสาร์ททั้งหน้าหลัง เมื่อครั้งเขาไปเล่นไวโอลินในขณะที่ยังเป็นเด็ก แต่การกลับมาคราวนี้ โมสาร์ทต้องประสบความผิดหวังอย่างมาก ซึ่งเพิ่มความช้ำใจให้แก่เขาอีก หลังจากต้องพรากจาก อลอยเซียมาแล้ว ทั้งนี้เพราะโมสาร์ทไม่ได้รับนิยมเสียแล้ว ชีวิตของเขาต้อนนี้ดูเหมือนจะถูก “ผีซ้ำด้ำพลาย” เป็นการใหญ่ เพราะในขณะที่อยู่ในนครปารีสนั้นเอง แม่ของเขาก็สิ้นชีวิตลงโดยกระทันหัน ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1778 ก่อให้เกิดความเศร้าสลดแก่โมสาร์ทเป็นอย่างมาก
ดังนั้นโม สาร์ทจึงกลับไปซาร์ลสเบอร์ก และได้เข้าร่วมอยู่ในวงดนตรีของอาร์ชบิชอบ โคลโลเรโดอีก โคลโลเรโดได้นำวงดนตรีเดินทางไปแสดงที่กรุงเวียนนา ในฤดูใบไม้ผลิ ปี ค.ศ.1781 การเดินทางไปครั้งนี้ |
เป็นที่พอใจของโมสาร์ทมาก เพราะเขาจะได้ไปยังเมืองที่เขารักมากที่สุดอีกครั้งหนึ่ง แต่เมื่อ โคล โลเรโด สั่งให้วงดนตรีย้ายไปเล่นที่อื่น โมสาร์ทรู้สึกไม่พอใจจึงลา ออก
โมสาร์ท ได้แต่งงานกับ คอนสตันซ์ เวเบอร์ น้องสาวของอลอยเซีย เวเบอร์ ซึ่งเขาเคยรักมาก่อนนั่นเอง โมสาร์ทได้นำเอาชื่อของเมียไปตั้งเป็นชื่อของนางเอกในอุปรากรที่เขาเขียน ขึ้นชื่อ The Escape from Seraglio โมสาร์ทได้นำอุปรากร เรื่องนี้ไปแสดงที่กรุงเวียนนา แต่ก็ไม่ได้ผล คนดูเดินออกก่อนอุปรากรเลิกทุกรอบ แต่อย่างไรก็ตามจากอุปรากรเรื่องนี้ จักรพรรดิ์โจเซป ได้รับโมสาร์ทไว้ในวงดนตรีของพระองค์ เพราะพระองค์ชอบอุปรากรของโมสาร์ทมาก ถึงกับออกปากชมเชยอยู่เรื่อย ๆ ถึงแม้วาจักรพรรดิ์โจเซฟจะทรงอุปถัมภ์โมสาร์ทด้วยความพอพระทัยในฝีมือเขียน อุปรากรของเขาก็ตาม แต่พระองค์ให้เงินค่าตอบแทนต่อนักแต่งเพลงผู้นี้น้อยเหลือเกิน จนกระทั่งโมสาร์ทกล่าวกับตนเองอยู่เสมอว่า เขาพยายามสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อคนอื่นจนสุดความสามารถของตน แต่ผลตอบแทนที่ได้รับไม่คุ้มค่ากันเลย
งานในด้านแต่งเพลงของโมสาร์ทเด่นขึ้น เมื่อเขาได้มีโอกาสรู้จักกับไฮเดิน นักคนตรีผู้ยิ่งใหญ่แห่งเวียนนาและได้เป็นผู้สอนการเขียนเพลง ควอเตท ให้แก่โมสาร์ท จากนั้นโมสาร์ทได้แต่งเพลง String quartets ขึ้นหลายเพลง ซึ่งไพเราะมาก เขาได้อุทิศ quartet ตลอดจนให้กำลังใจแก่เขา ความจริงไฮเดินก็ได้บางสิ่งบางอย่างไปจากโมสาร์ทเหมือนกัน ไฮเดินมีความชื่นชมในการเล่นเปียโนของโมสาร์ทมาก ไฮเดินเคยกล่าวกับพ่อของโมสาร์ทเมื่อครั้งที่เลโอโปลด์ไปเยี่ยมลูกชายที่ เวียนนา “ผมขอประกาศต่อท่านด้วยเกียรติยศว่า ลูกชายของท่านเป็นนักแต่งเพลงผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา” (I declare to you upon my honor that I consider you son the greatest composer that I have heard)
ในเรื่อง เกี่ยวกับครอบครัวของเขา หลังจากการแต่งงานได้ 9 ปี โมสาร์ทได้รับความสุขบ้างพอสมควร เขา มีลูกกับคอนสตันซ์ เวเบอร์ ทั้งหมดด้วยกัน 6 คน หลังจากนั้นการดำรงชีพชักฝืดเคืองเพราะมีสมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้น รายได้ไม่สมดุลกับรายจ่าย เมียเป็นคนใช้เงินเก่ง ทั้งการบ้านการเรือนไม่ค่อยเอาใจใส่เท่าที่ควร ครอบครัวของโมสาร์ทจึงประสบมรสุมทางการเงินอย่างหนัก ต้องกู้หนี้ยืมสินมาประทังชีวิตในครอบครัว และตัวโมสาร์ทเองก็ต้องทำงานอย่างหนัก
งานของโมสา ร์ทีมากกว่า 200 ชิ้น นับว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถในการแต่งเพลงชั้นยอดเยี่ยมผู้หนึ่ง เริ่มตั้งแต่เพลง String quartets ที่เด่นที่สุด 10 เพลง, Piano quartets 2 เพลง, Piano quintets อีก 2 เพลง, Piano concertos 30 กว่าเพลง, Violin concertos 7 เพลง, Flute concertos 3 เพลง, อุปรากร 22 เรื่อง, ซิมโฟนีเขียนไว้ 41 เพลง นอกจากนั้นยังมีอื่น ๆ อีกมาก
งานด้าน อุปรากรนั้น ในปี ค.ศ.1786 โมสาร์ทได้ร่วมมือกับ ลอเรนโซ ดา พอนเต้ ซึ่งเป้นผู้เชียวชาญประจำโรงละครหลวงในกรุงเวียนนา เขียน ‘Marriage of Figaro’ ขึ้น อุปรากรเรื่องนี้เมื่อแสดงครั้งแรกไม่ประสบความสำเร็จดังหวัง แต่ต่อมามีคนนำไปแสดงที่กรุงปร๊าค นครหลวงของโบเฮเมีย (เชคโกสโลวาเกีย) ได้รับความสำเร็จอย่างงดงาม ค.ศ.1787 เขียนอุปรากรเรื่อง ดอน โจวันนี สำเร็จ ซิมโฟนีรุ่นสุดท้ายมี 3 เพลง ซึ่งเป็นซิมโฟนีอันยิ่งใหญ่ของโมสาร์ทสำเร็จลงภายในระหว่างฤดูร้อนของปี ค.ศ.1788 ได้แก่เพลงซิมโดนีนัมเบอร์ 39 E Flat Major, นับ เบอร์ 40 G Minor, นับเบอร์ 41 C Major (‘Jupiter’) ซึ่งมีความเด่นเป็นเอกกว่าซิมโฟนีทั้งหลายของโมสาร์ท สำหรับนับเบอร์ 41 ที่ชื่อ Jupier นี้ไม่ทราบว่าใครเป็นคนตั้ง เพราะโมสาร์ทไม่ได้เป็นคนตั้ง อุปรากรที่ร่วมกับลอเรนโซ ดา พอนเต้ เมื่อปี ค.ศ.1790 อันหลังสุดได้แก่ Cosi Fan Tutte
โมสาร์ทได้ เขียนเพลงมากมาย ยิ่งเขียนมากขึ้นเท่าไหร่แนวการเขียนก็ยิ่งแปลกขึ้นเท่านั้น และไม่ค่อยจะซ้ำแบบเดิม ซึ่งเป็นการยากที่นักแต่งเพลงอื่น ๆ จะทำได้ อุปรากรเรื่องสุดท้ายในชีวิตของโมสาร์ท คือ The Magic Flute ซึ่งเขียนขึ้นขณะที่กำลังป่วยและอยู่ในภาวะเศร้าโศก เพราะมีเรื่องคับแค้นในเรื่องครอบครัว แต่ถึงอย่างนั้นก็ปรากฏว่าท่วงทีทำนองและลีลาของเพลงเต็มไปด้วยชีวิตและ ร่าเริงแจ่มใส เพลงนี้เขียนขึ้นในปี ค.ศ.1791
โมสาร์ทได้พยายามแต่งเพลง Requiem (เพลงเกี่ยวกับงานศพ) ให้แก่เคาน์ท์ลัวเซกก์ เพื่อเป็นที่ระลึกให้แก่ภรรยาที่ตายไปแล้ว โมสาร์ทแต่งไปได้ไม่มากนักก็เสียชีวิตเสียก่อน ตกลงก็เป็นอันว่าเพลง Requiem นี้แต่งขึ้นเพื่องานศพของตนเอง เพราะต่อมาวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ.1791 โมสาร์ทก็จากโลกไปด้วยโรคไข้ไทฟลอย์ที่เวียนนา เขาตายขณะที่กำลังยากจนแสนเข็ญ และมีหนี้สินรุงรัง ภรรยาไม่มีเงินจะทำศพให้สามี เอเฟน ฟาน สวีเดน ผู้ใจบุญได้ช่วยจัดการในพิธีฝังศพให้
|  อนุสรณ์ สถาน โมสาร์ท | ขณะที่ โมสาร์ทตายนั้น เขาอายุเพียง 35 ปีเท่านั้น เขาตายอย่างน่าอนาถ เพราะเขาต้องเผชิญกับความหิว ความหนาวและเข็ญใจ ไร้ญาติขาดมิตร ขณะที่นำศพไปฝังในตอนบ่ายวันที่เขาตายนั้น มีพายุฝนอย่างรุนแรง หิมะและลูกเห็บตกลงมาอย่างหนัก ทำให้คนเดินติดตามไปฝังศพต้องยอมแพ้ไม่ยอมตามไป ภรรยาของเขาก็ไม่ได้ตามไปด้วยเพราะกำลังป่วยอยู่ ฉะนั้น จึงไม่มีญาติมิตรคนใดไปดูการฝังศพของเขา คงปล่อยให้สัปเหร่อ 2-3 คน จัดการไปตามลำพัง ณ ป่าช้าสำหรับคนอนาถาที่ เซนต์ มารุกซ ในกรุงเวียนนา โดยไม่ได้ทำเครื่องหมายอันใดไว้เลย เพราะทำกันอย่างรีบ ๆ จึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่ง พอมีการระลึกถึงคุณค่าทางดนตรีของเขาขึ้นมา ต้องการที่จะคาราวะศพ และจะจัดสร้างอนุสาวรีย์ให้แก่เขา ก็ไม่สามารถจะค้นหาหลุมฝังศพของเขาพบ นี่แหละคือชีวิตของ โวล์ฟ กัง อมาเดอุส โมสาร์ท นักดนตรีชื่อก้องโลกผู้อาภัพที่สุด
|
ขอขอบคุณ
ที่มา : หนังสือนักดนตรีเอกของโลก เขียนโดย ทวี มุขธระโกษา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น